วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หมูสับนึ่งปลาเค็ม, เทียนหอมกันยุง

ส่วนประกอบ

ปลาอินทรีเค็ม 1 ชิ้น   หมูสับ 1 ถ้วย   กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ   พริกไทยป่น 1 ช้อนชา    ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา   ไข่ไก่ 1 ฟอง   แป้งมัน 1  ช้อนชา   พริกชี้ฟ้าหั่นเส้น 1 ช้อนโต๊ะ  ขิงเส้น 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.  นำปลาเค็ม หมูสับ ไข่ไก่ แป้งมัน กระเทียมสับ พริกไทยป่น ใส่ลงในภาชนะสำหรับผสม
2.  ขยี้เนื้อปลาเค็มให้ละเอียด  และคลุกเคล้าให้ส่วนผสมต่างๆ เข้ากัน  ถ้ากลัวว่าจะไม่เค็มให้เติมซีอิ๊วขาวลงไปเล็กน้อย
3.  นำส่วนผสมที่คลุกเคล้าดีแล้วใส่ลงไปในภาชนะสำหรับนึ่ง  โดยภาชนะนั้นจะต้องเป็นชาม  หรือจานที่มีก้นลึก  เพราะเวลานึ่งเสร็จจะมีน้ำซุปออกมา
4.  ตกแต่งด้วยขิงหั่นเส้น  และพริกชี้ฟ้าหั่นเส้น
5.  นำลังถึงใส่น้ำ  ตั้งไฟรอให้เดือด  เมื่อน้ำเดือดแล้วจึงนำหมูสับและปลาเค็มที่เตรียมไว้ลงไปนึ่ง
6.  นึ่งประมาณ 10 นาที หรือจนหมูสุก  พร้อมเสิร์ฟ  หรืออาจะเสิร์ฟโดยโรยหน้าด้วยหอมแดงซอย  หรือว่่าจะเป็นพริกขี้หนูซอย  และน้ำมะนาวนิดหน่อยก็ได้

เทียนหอมกันยุง

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้

- หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
- หม้อสองชั้นสำหรับตุ๋นเทียน
- ถาดขนมอะลูมิเนียม
- แม่พิมพ์
- เหล็กคีบ
- กะละมังสเตนเลสใบเล็ก
- ทัพพีกลมสำหรับตักน้ำเทียน
- กรรไกร
- เหล็กแหลม
- พาราฟินแวกซ์ หรือโพลีเอ
- ช้อน
- สเตอร์
- เอสเตอร์รีน  มีลักษณะเป็นเกล็ด
- สเตียริคเอซิค
- ไมโครแวกซ์
- ไส้เทียน
- ไส้เทียน
- สีผสมเทียน
- น้ำมันตะไคร้หอม

วิธีทำ

1.  ขั้นแรกนำแผ่นพาราฟินแวกซ์ที่เตรียมเอาไว้มาหั่นเป็นท่อนๆ จากนั้นนำไปต้มในหม้อด้วยความร้อนปานกลาง  เมื่อละลายแล้วก็ให้ใส่สีลงไป  แต่ให้ใส่ทีละน้อย  เพื่อให้สีเท่ากันทั้งหมด
2.  ใส่หัวน้ำมันตะไคร้หอม  โดยใช้ 3-4 หยดต่อเทียน 6 ขีด
3.  นำเทียนที่ได้ไปหยดใส่พิมพ์  หรือภาชนะสวยๆ ต่างๆ
4.  พอเทียนแข็งตัว  ก็ให้แกะพิมพ์ออกมา  แล้วตกแต่งให้สวยงาม

คำแทนชื่อของพระบวชใหม่

คำแทนชื่อของพระบวชใหม่ที่ตัวเองเคยใช้ว่า " ผม " ว่า " ฉัน " จะต้องเปลี่ยนเป็นใช้ " อาตมา " หรือ " อาตมภาพ "  คำที่ใช้ว่า " ครับผม " หรือ " ครับ " ก็ต้องเปลี่ยนเป้น " ขอเจริญพร " หรือ " เจริญพร " ตามสมควรแก่สถานะของบุคคล
คำใช้เรียกแทนชื่อของผุ้อื่น  คำที่ใช้กันมากก็คือ " โยม " เช่น " โยมพี่ " และคำว่า "คุณโยม " เช่น คุณโยมมารดา คุณโยมป้า หรือจะใช้ " คุณ " หรือ " ท่าน " กับคนสามัญก็ได้
สำหรับภิกษุด้วยกัน พึงใช้อย่างที่ใช้ในเวลาเป็นคฤหัสถ์นั้นเองคือ "ผม " หรือ "เกล้ากระผม " และคำรับว่า " ครับ " หรือ "ครับผม " หรือ " ขอรับผม "  ส่วนคำใช้เรียกแทนชื่อท่านก็ใช้คำว่า " ท่าน " " ใต้เท้า " " พระเดชพระคุณ " " หลวงพี่ " " หลวงพ่อ " หรือ " หลวงปู่ " หรือ " หลวงตา " อย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่สถานะของภิกษุนั้น ๆ

 

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไก่ต้มขมิ้น

ส่วนประกอบ

โคนปีกไก่ และปีกไก่ 2 ถ้วย  ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ  ข่าซอย 1 ช้อนโต๊ะ   ขมิ้นทุบ 1 ช้อนโต๊ะ  พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ  หอมแดงทุบ 3 หัว  พริกขี้หนูทุบ 5-8 เม็ด  เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำน้ำใส่หม้อประมาณ 1/3 ของหม้อ  ใส่ตะไคร้ซอย  ข่าซอย  ขมิ้นทุบ  พริกไทยดำ  และหอมแดงทุบลงไปต้ม
2. เมื่อน้ำเริ่มเดือดจึงค่อยใส่ไก่ลงไปต้ม ต้มจนกว่าไก่จะสุก
3. เมื่อไก่สุกแล้วให้ปรุงรสด้วยเกลือ ชิมให้เค็มนิดหน่อยรสชาติเหมือนต้มจืดโดยทั่วไป
4. เมื่อชิมรสได้ที่แล้ว ก่อนที่จะเสิร์ฟก็อาจจะใส่พริกขี้หนูทุบลงไปประมาณ 2-3 เม็ด เพื่อเพิ่มรสชาติที่เผ็ดร้อน

" ถ้ายิ่งต้มได้ไฟอ่อนนานๆ ก็จะยิ่งเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น"

คำวัด เสนอคำว่า  " อาราม  อาวาส "

อาราม แปลว่า ที่เป็นที่มายินดี  หมายถึง  สวนต้นไม้,  สถานที่ร่มเย็น,  สถานที่น่ารื่นรมย์
อาวาส แปลว่า ที่เป็นที่มาอยู่  หมายถึง  สถานที่อยู่อาศัย
อาราม  อาวาส  สองคำนี้ถูกนำมาใช้ในความหมายว่า " วัด " ในพระพุทธศาสนา  หรือ มักถูกนำมาต่อท้ายชื่อของวัดเพื่อแสดงความเป็นวัดซึ่งเป็นสถานที่ร่มเย็นและเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์  เช่น  วัดอรุณราชวราราม  วัดราชโอรสาราม  วัดพุทธาวาส

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความหมายของบทสวดทำวัตรเย็น

การทีพระภิกษุสามเณรประชุมกันทำวัตรเย็น ประจำทุกวันนั้น บทสวดมีความหมายแยกออกได้เป็น ๓ ตอน คือ
ข้อความตอนต้น เป้นการกล่าวนอบน้อมพระรัตนตรัย และกล่าวสดุดีสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ต่อจากนั้นก็เป้นการกล่าวปฏิญาณตนเป้นผุ้รับใช้พระศาสนาและกล่าวยืนยัน ตนมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป้นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ไม่มีสรณะอื่นยิ่งกว่า
และได้กล่าวอธิษฐานว่า โดยอ้างถึงการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอให้ข้าพเจ้าเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา และด้วยเดชะบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ขวนขวายในพระศาสนานี้ ขออันตรายทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าเลย
เมื่อจบการกล่าวสดุดีสรรเสริยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ การปฏิญาณตน และการอธิษฐาน แต่ละตอนแล้ว ก็ได้กล่าวขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยที่ตนได้ประพฤติล่วงเกิน ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เพื่อจะได้สังวรระวังต่อไปเช่่นนี้ทุกครั้ง
ตอนกลาง เป้นการสวดพระพุทธมนต์ที่เป็นพระสูตรต่างๆ เพื่อเป็นการซักซ้อมการสวดพระพุทธมนต์ให้พร้อมเพรียงกัน และเพื่อให้เกิดความทรงจำพระสูตรนั้นๆ ได้แม่นยำ
ตอนสุดท้ายแห่งการทำวัตรเช้าและสวดมนต์เย็นแล้วก็สวดบทแผ่ส่วนกุศล แก่สรรสัตว์ทั่วไป
ประโยชน์การทำวัตรเช้า-เย็น
ประโยชน์ที่พระภิกษุสามเณรทั้งหลายจะพึงได้รับจากการทำวัตรเช้า-เย็น เมื่อกล่าวโดยย่อเป็นข้อๆ คงมี ดังต่อไปนี้
๑. เพื่อความสามัคคึพร้อมเพรียงกันแห่งหมู่คณะ
๒. เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณความดีของพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะอันยอดเยี่ยม ที่พระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจประพฤติดีปฏิบัติชอบ จะพึงยึดถือเป็นทิฏฐานุคติประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ ดำเนินรอยตามพระรัตนตรัย สืบไป
๓. เพื่อเป็นการเจริญภาวนากุศลอบรมจิตใจของตนๆ ให้สงบระงับจากกิเลส อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาที่ตั้งใจทำวัตรสวดมนต์อยู่นั้น จิตใจย่อมไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปในเรื่องฆราวาสวิสัย
๔. เพื่อร่วมประกอบพิธีกรรมประจำวันอันแสดงถึงภาวะความเป็นอยู่ของสมณวิสัย ซึ่งต่างจากภาวะความเป็นอยู่ของฆราวาสวิสัย
๕. เพื่อเป็นการร่วมกันทบทวนซักซ้อมบทพระบาลีที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ให้ทรงจำได้แม่นยำช่ำชอง คล่องปาก ขึ้นใจ
๖. เพื่อเป็นการร่วมกันซักซ้อมทำนองการสวดพระพุทธมนต์พระสูตรต่างๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องนำไปใช้สวดในงานมงคลและงานอวมงคล ในการบำเพ็ญกุศลของพระพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ให้ได้ระเบียบเดียวกัน
๗. เพื่อเป็นการร่วมกันแผ่ส่วนกุศลที่ได้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบบำเพ็ญมาในพระพุทธศาสนา ให้แก่ผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาและแก่สรรพสัตว์ทั่วไป
๘. เพื่อเป็นการกำจัดโกสัชชะความเกียจคร้านให้ออกไปจากจิตสันดานของตนๆ เป็นประจำทุกๆ วัน อย่างน้อยก็วันละ ๒ ครั้ง
๙. เพื่อเป็นตัวอย่างในการแสดงความเคารพพระรัตนตรัยแก่พุทธศาสนิกชน ชาวบ้านทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตาม

ระเบียบปฏิบัติการทำวัตรเช้า

ความหมายของบทสวดทำวัตรเช้า

การที่พระภิกษุสามเณรประชุมกันทำวัตรเช้า ประจำทุกวัน มีความหมาย บทที่สวดนั้นแยกออกได้เป็น ๓ ตอน คือ
ข้อความตอนต้น เป็นการกล่าวนอบน้อมพระรัตนตรัยและเป็นการกล่าวสดุดีสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
เมื่อกล่างสดุดีสรรเสริญพระรัตนตรัยจบลงแต่ละครั้งแล้ว ก็กล่าวอธิษฐานอ้างถึงอานุภาพแห่งบุยอันเกิดจากการกล่าวนอบน้อมและการกล่าวสดุดีสรรเสริญพระรัตนตรัยดังกล่าวมาแล้วขออุปัททวะ ความขัดข้องทั้งหลาย จงอย่าได้มีแก่ข้าพระเจ้าเลย กล่าวอธิษฐานอย่างนี้ทุกครั้งที่กล่าวสดุดีสรรเสริญพระรัตนตรัยจบลง
ข้อความตรงกลาง เป็นการกล่าวปฏิญาณยืนยันถึงภาวะทีตนรู้ซึ้งถึงพระศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงสั่งสอนไว้ว่า
" ความเกิด ความแก่ ความตาย เป้นทุกข์ "
ความโศรกเศร้าพิไรรำพัน  ความทุกข์กาย ความทุกช์ใจ ความคับแค้นใจ ความได้ประสบกับสิ่งไม่น่ารัก ความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ล้วนแต่เป็นทุกช์ทั้งนั้น
สรุปรวมความว่า อุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ ได้แก่ สังขาร ร่างกาย เวทนาขันธ์ ได้แก่ความรู้สึกสุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์  สัญญาขันธ์ ได้แก่ ความจำได้หมายรู้ สังขารขันธ์ ได้แก่ ความคิดนึกปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ วิญญาญขันธ์ ได้แก่ ความรู้แจ้ง อารมณ์ต่างๆ
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ที่คนเราเข้าไปยึดถือว่า เป็นเราเป็นของเรา ล้วนเป็นเหตุก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น
แล้วกล่าวยืนยันต่อไปว่า " ในสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ ทรงแนะนำพร่ำสอนพระสาวกทั้งหลายให้กำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อยู่โดยมาก และพระอนุสาสนีของพระองค์ที่ทรงพร่ำสอนพระสาวกทั้งหลาย ส่วนมากก้พร่ำสอนว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ล้วนไม่เที่ยง เป้นทุกข์ เป้นอนัตตา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจของผู้ใด ใครบังคับไม่ได้
พวกเราเป็นผู้ถูก ชาติ ชรา มรณะ ความโศกเศร้า ความพิไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เข้าครอบงำแล้ว ถูกความทุกข์คอยดักหน้า เข้าครอบงำ
จะทำไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏมีได้
และได้กล่าวอธิษฐานขอให้ถึงความสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลต่อไปว่า " ขอให้การประพฤติพรหมจรรย์ของพวกเราที่พากันสละบ้านเรือนออกบวชอุทิศสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วนาน ได้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามสิกขาและธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันของพระภิกษุทั้งหลาย จงเป้นไปเพื่อกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ เทอญ
ข้อความตอนท้ายของบทสวดทำวัตรเช้า เป้นการซักว้อมคำพระบาลี ตังขณืกปัจจเวก  และธาตุปฏิกูลปัจจเวกปาฐะซึ่งพระภิกษุสามเณรทุกรูปจะต้องพิจารณาปัจจัย ๔ ทุกครั้งที่จะบริโภคใช้สอยปัจจัย เพื่อให้เกิดความชำนาย ช่ำชอง คล่องปาก ขึ้นใจ
เมื่อพระภิกษุสามเณรกล่าวสวดบททำวัตรเช้าจบลงแล้วก็นิยมตั้งจิตแผ่สวดกุศลแก่ท่านผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาทั้งหลาย และแก่สรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อัดกรอบพระ, ผัดเผ็ดเป็ดพะโล้

ควรเป้นผู้มีอัธยาศัยดี เพื่อที่ลูกค้ามีความประทับใจ
วัสดุอุปรณ์ที่ต้องใช้
-ตะกร้าพลาสติก 1 ใบ   -พลาสติกใสหนา 4-8 แผ่น   -ตัวหนีบ 10 ตัว   -มอเตอร์ 1 ตัว   -กระดาษทรายละเอียด 1-2 โหล   -ดินขัดมันพลาสติก  1-2ก้อน   -สายไฟ  1 ม้วน   -แปรงปัดฝุ่น   -พู่กัน   -โต๊ะเก้าอี้   -แอลกอฮอล์    -ไฟแช็กแก๊ส   -ตะใบใหญ่   -น้ำยาเชื่อมพลาสติก   -เลื่อยฉลุ   -คัตเตอร์   -ตะใบเล็ก
วิธีทำ
1.   ขั้นแรกเลยให้เรานำพระที่ต้องการจะอัดกรอบวางไว้บนไม้อัด
2.  จากนั้นก็นำเอาดินสอมาขีดรอบๆ ขอบพระที่เราต้องการจะอัดกรอบ  โดยให้รอยดินสอใหญ่กว่าองค์พระเล็กน้อย
3.   จากนั้นก็ให้ใช้เลื่อยฉลุตัดตามแนวที่ขีดดินสอเอาไว้แล้วทิ้งเอาไว้ก่อน
4.   ขั้นต่อมาให้เรานำพลาสติกหนามาตัด  โดยให้มีขนาดใหญ่กว่าองค์พระพอสมควร
5.   นำพลาสติกที่ตัดเอาไว้ไปลนบนตะเกียงแอลกอฮอล์
6    เมื่อพลาสติกอ่อนตัวก็ให้นำไปหุ้มองค์พระในขณะที่พลาสติกยังร้อนอยู่
7.   ใช้ปากเป่าลมเพื่อให้พลาสติกเย็นลงและแข็งตัวได้อย่างรวดเร็ว
8.   ทำเช่นเดิม  เหมือนข้อ 4-7 เป็นการหุ้มพลาสติก 2 ชั้น
9.   นำตัวหนีบไปติดรอบขอบพลาสติกที่หุ้มองค์พระ
10. ใส่น้ำยาลงไป  ทิ้งเอาไว้ให้แห้ง
11. เมื่อแห้งแล้วก็ตัดขอบพลาสติกที่เหลือออก  เพื่อให้มีขนาดพอดีกัน  โดยเหลือที่เอาไว้สำหรับเจาะรู
12. นำขอบพลาสติกที่ตัดไปกรอบกับหินขัดเพื่อให้สวยงามยิ่งขึ้น
13. ใส่น้ำยาขัดบนแปรงที่ติดอยู่กับมอเตอร์  แล้วขัดให้สวยงามและไม่มีคม
14. จากนั้นก็นำองค์พระที่อัดกรอบเรียบร้อยแล้วมาใส่ลงไปในช่องว่างนี้เพื่อล็อกให้องคืพระไม่ไปไหน
15. เอาสว่านเจาะรูพลาสติกที่อัดกรอบเอาไว้  จากนั้นก็นำห่วงมาคล้องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ผัดเผ็ดเป็ดพะโล้ผัดเผ็ดเป็ดพะโล้ผัดเผ็ดเป็ดพะโล้ผัดเผ็ดเป็ดพะโล้
ส่วนประกอบ
เนื้อเป็ดพะโล้ 1 ถ้วย               พริกแกง  2  ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าซอย 2 ช้อนโต๊ะ         พริกไทยอ่อน 2 ช่อ
กระชายซอยเส้น  2 ช้อนโต๊ะ    ใบมะกรูดฉีก  4 ใบ
ใบโหระพา  1 ถ้วย                  น้ำปลา  2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา            น้ำมันพืช  2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟ  ใส่น้ำมันพืชลงไปนิดหน่อย  เปิดไฟกลาง  จากนั้นใส่พริกแกงลงไปผัดให้หอม  แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปนิดหน่อย
2. จากนั้นจึงค่อยใส่เนื้อเป็ดลงไป  ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากับพริกแกงให้ทั่ว  ปรุงรสด้วยน้ำปลา  และน้ำตาลทราย
3. เมื่อชิมรสได้ที่แล้วจึงค่อยใส่พริกไทยอ่อน  กระชาย  ลงไปผัดให้หอม  จากนั้นจึงค่อยใส่พริกชี้ฟ้า  และใบโหระพา  ผัดพอสลดแล้วใส่ใบมะกรูดฉีก  แล้วจึงค่อยดับไฟตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ
สีกา กา กา มา มา จะ จะ ทำ ทำ อย่าง อย่าง ไร ไร ไร

ในกรณีที่มีสีกามาหาที่กุฏี  พระใหม่พึงระวังให้มาก  อย่าไปนั่งอยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตา  คนเขาจะครหานินทาเอาได้  และอีกทั้งยังเป็นการผิดวินัยของสงฆ์อีกด้วย
ถ้าจำเป้นจะต้องคุยก็พึงให้ออกมาคุยในที่เปิดเผย  อาจจะเผยอาจจะเป็นที่นอกชานกุฏีหรือในที่โล่งแจ้ง  และควรจะหาผู้ชายมานั่งเป็นเพื่อนด้วย
อนึ่ง  เวลาที่สีกามาหาพระที่วัดนั้นก็ควรจะแต่งกายให้สุภาพรัดกุม  อย่าแต่งตัวแบบชะเวิบชะวาบเข้ามาหาพระ  เพราะนอกจากจะเป้นการไม่สมควรแล้วยังจะเป้นบาปอีกด้วย  เพราะทำใจพระเกิดกำเริบ ( เกิดราคะ ) เมื่อได้เห็น
ฝา่ยพระเองก็พึงสำรวมตาเอาไว้ให้ดี  ไม่มองได้ก็อย่าไปมอง  เพราะถ้าขืนไปมองมากๆแล้ว  ก็จะทำอันตรายแก่จิตใจเอาได้  คือทำให้จิตใจเกิดกำเริบด้วยกามราคะ  ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายสำหรับพระใหม่อย่างที่สุด ( หรือแม้พระเก่าก็เช่นกัน ) ฯ

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กรอบรูปวิทยาศาสตร์,ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ

เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งที่ทำกำไรให้กับผู้ที่ทำจำนวนมาก  ซึ่งในบางครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องเปิดร้านอะไร เพียงแต่เรามีช่องทาง  และรับทำเป็นรายได้เสริมเล็กๆ น้อยๆ ได้เช่นกัน รวมทั้งก็มีต้นทุนไม่แพง และรายได้ต่อชิ้นก็มากอีกด้วย
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
- น้ำยาเรซิ่นเคลือบรูป หรือโพลีเอ
- สเตอร์ซิ่นเบอรื KC-288
- ฮาร์ดเดนเนอร์ หรือฮาร์ด
- แผ่นฟิิล์มไมล่า
- กรอบไม้ ตามความเหมาะสม
- ลูกกลิ้งยาง ใช้ขนาดประมาณ 8 นิ้ว
- ไม้อัดทำกรอบรูป ตามขนาดรูป
- เส้นทอง หรือเส้นเงิน
- น้ำยากันเช์้อรา
- ถ้วยพลาสติกสำหรับใส่เรซิ่น
- ไม้กวน
- หลอดหยด สำหรับหยดตัวทำแข็ง
- คัตเตอร์
- ตาชั่ง
- กระดาษทรายเบอร์ 300
- กระดาษลวดลายสวยงาม
- เทปกาว
- ขาตั้งรูป
- สีน้ำมัน
- ทินเนอร์
- แปลงทาสี
วิธีทำ
1. ขั้นแรกให้เรานำภาพมาทาบบนไม้อัด  แล้วตัดไม้อัดตามขนาดของภาพ โดยตัดให้ไม้อัดใหญ่กว่าขอบภาพประมาณ 1-2 นิ้ว
2. ขีดเครื่องหมายบนไม้อัดที่มีภาพอยู่ โดยจัดให้อยู่กึ่งกลางจากน้ันก็ทากาวแล้วแปะภาพลงไป ทิ้งไว้ให้แห้ง
3. นำกระดาษสีสวยๆ ที่ต้องการมาตัดให้เท่ากับความกว้างของขอบที่เหลือเอาไว้ แล้วนำมาแปะลงบนขอบไม้อัด
4. นำเส้นสีทอง หรือเงินที่เตรียมเอาไว้มาติดไว้ระหว่างภาพและละลาย
5. ทิ้งให้กาวแห้งจนสนิท ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
6. จากนั้นก็นำกรอบรูปที่แห้งแล้วมาวางบนกล่องกระดาษ
7. นำเรซิ่นไปใส่ในถ้วยพลาสติก  จากนั้นก็หยดน้ำยาทำแข็งลงไป 1 ต่อ 10 ส่วนของปริมาณเรซิ่น  จากนั้นก็ผสมให้เข้ากัน  แล้วเทเรซิ่นลงบนภาพกลางภาพ
8. นำกรอบแผ่นฟิล์มไมล่าวางบนเรซิ่นที่เทลงไป  แล้วใช้ลูกยางไล่ให้เรซิ่นกระจายตัวเท่ากัน  โดยไล่ฟองอากาศออกไปให้หมดไป  จากนั้นก็ปล่อยเอาไว้ 2 ชั่วโมง  ห้าขยับเด็ดขาดรอจนแห้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระ
ส่วนประกอบ
เส้นก๋วยเตี๋ยวตามชอบ เช่น เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ หรือบะหมี่ สะโพกไก่ 4 ชิ้น อาจจะใส่เครื่องในไก่ ตีนไก่ หรือข้อไก่ด้วยก็ได้ มะระ ถั่วงอก หรือผักอื่นๆ  เช่นยอดตำลึง ผักคะน้า กะหลึ่าปลี เป็นต้น ผักชีซอย ต้นหอม น้ำมันกระเทียมเจียว
เครื่องปรุงน้ำซุปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป
ข่าแก่ 1 หัว   ขิง 1 หัว    เครื่องพะโล้ 1 ห่อ   น้ำตาลกรวด 1/2 ถ้วย    เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ   ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ   ใบเตย 1 มัด   กระเทียมสด 3 หัว   รากผักชี 5 ราก   พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ น้ำซุปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป
1.  หม้อที่ใช้เบอรืประมาร 28 เอาน้ำใส่ลงไปในหม้อประมาณ 1 ส่วน 3 ของหม้อ
2. หั่นข่าและขิงเป็นแว่นๆ ประมาณอย่างละ 5 แว่น ใส่ลงไปในหม้อ  และตามด้วยใบเตย
3. ใส่น้ำตาลกรวด เกลือ และซีอิ๊วดำ
4. จากนั้นจึงนำกระเทียม รากผักชี พริกไทย มาโขลกให้เข้ากันแล้วใส่ลงไปในหม้อ  เปิดไฟกลางรอน้ำเดือด
5. นำมะระผ่าครึ่งด้านยาว  แล้วเอาเมล็ดออก  หั่นตามขวางยาวประมาณ 1 นิ้ว
6. เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วค่อยนำมะระลงไปต้ม  ต้มประมาณ 10 นาที  มะระจะเริ่มสุก
7. จากนั้นจึงค่อยใส่ไก่ลงไปตอนน้ำเดือดๆ ต้มไก่ประมาณ 30 นาที
8. เมื่อไก่สุกดีแล้วจึงค่อยชิมรส  ให้รสชาติออกเค็มๆ หวานๆ หอมเครื่องเทศ ตุ๋นต่อไปจนกว่าจะเปลื่อยนุ่ม
วิธทำก๋วยเตี๋ยวไก่มะระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระระ
1. นำน้ำใส่หม้อพอประมาณ ตั้งไฟรอให้น้ำเดือดจัด
2. นำเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ลงไปในตะกร้อ  แล้วจุ่มลงไปในน้ำที่เดือดเขย่าประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วจึงเทใส่ชาม
3. คลุกด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว  เพื่อไม่ให้เส้นจับกันเป็นก้อน
4. นำผักใส่ตะกร้อ  แล้วลวกผักแต่พอสลด  จากนั้นจึงค่อยเทใส่ชาม
5. ตักเนื้อไก่ และมะระลงในชาม แล้วค่อยใส่น้ำซุป
6. โรยด้วยต้นหอม ผักชีซอย พร้อมเสิร์ฟ
อาการที่ภิกษุจะพึงปฏิบัติในสตรีภาพ
ครั้นแล้ว  พระอานนท์จึงทูลถามข้อที่ภิกษุจะพึงปฏิบัติในสตรีภาพ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ตร้สตอบว่า   อานนท์   เธอทั้งหลายพึงปฏิบัติในสตรีภาพอย่างนี้ คือ
๑ .  การไม่มองดูเสียเลย จัดเป็นการดี ( ไม่มองดู )
๒ .  หากจำเป็นต้องมอง  การไม่พูดจาด้วย  เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร ( ไม่พูดด้วย )
๓ . หากจำเป็นต้องพูดด้วย  ก็สำรวมระวังตั้งสติไว้ให้มั่นคง  อย่าให่แปรปรวนด้วยอำนาจราคะความกำหนัด ( สัจจปติฏฐาน )

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บะหมี่กึ่งปลาพิโรธ,ไข่เจียวบะหมี่กึ่ง

ส่วนประกอบ
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำ 1 ห่อ
ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง
ผักต่างๆ ตามชอบ( ถ้ามี )
วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด ระหว่างรอน้ำเดือดให้แกะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ชาม  พร้อมทั้งใส่เครื่องปรุงลงไปให้หมด
2. เปิดปลากระป๋องแล้วใส่ปลากระป๋องลงไปปริมาณตามชอบ
3. เติมผักต่างๆ ที่พอหาได้  เพื่อเพิ่มกากใยให้อาหาร  แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องก้ได้  แต่ถ้าเป็นใบกระเพราจะอร่อยมาก
4. เมื่อน้ำเดือดจึงค่อยเทน้ำลงไปในชามบะหมี่กึ่ง  นำฝาปิดชามทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที  พร้อมรับประทาน
ส่วนประกอบ
เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ลวกแล้ว 1 ห่อ
เครื่องปรุงบะหมี่สำเร็จรูป 1 ชุด
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เนื้อสัตว์ เช่น หมูสับ ไส้กรอก (ถ้ามี)
วิธีทำ
1. นำเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ลวกแล้วมาคลุกกับเครื่องปรุงให้เขากัน
2. ตอกไข่ใส่ลงไป ถ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ห่อ ใช้ไข่ 2 ฟอง
3. เติมเนื้อสัตว์ลงไป เช่น ไส้กรอก หมูสับ ลูกชิ้น หมูย่าง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่  แล้วคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน
4. นำน้ำมันใส่ลงไปในกระทะให้พอสำหรับทอด  ตั้งไฟกลาง รอจนน้ำมันร้อนจัดแล้วเทไข่ลงไปทอด ทอดจนไข่สุกเหลืองทั้งสองข้างตักใส่จาน  พร้อมเสิร์ฟ
คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด คำวัด
ยาคู แปลกันมาว่า  ข้าวต้ม เป็นอาหารเหลวอย่างหนึ่งที่ภิกษุดื่มก่อนไปบิณฑบาต  คล้ายเป็นอาหารสำหรับรองท้อง  และท่านใช้กิริยาว่า " ดื่ม " มิใช่ " ฉัน " เหมือนอาหารทั่วไป  แสดงว่ายาคูเป็นอาหารเหลวมาก ใช้ดื่มได้เหมือนน้ำ
ยาตู  ท่านว่าเมื่อดื่มแล้วจะได้ประโยชน์หรืออานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. บรรเทาความหิว
๒. บรรเทาความกระหาย
๓. ทำให้ลมเดินคล่อง
๔. ชำระล้างลำไส้
๕. ช่วยย่อยอาหารทียังไม่ย่อย
ปานะ แปลว่า น้ำดื่ม, เครื่องดื่ม ในคำวัดหมายถึงน้ำที่ควรดื่ม  ได้แก่น้ำที่คั้นจากผลไม้สำหรับถวายพระ  พระดื่มได้แม้ในเวลาวิกาล เรียกน้ำเช่นนั้นว่า  น้ำปานะ
น้ำปานะที่ท่านกำหนดไว้มี ๘ ชนิด เรียกว่า อัฐบาน หรือ น้ำอัฐบาน ( น้ำปานะ ๘ ) คือ น้ำมะม่วง น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำมะซาง น้ำลูกจันทน์ หรือน้ำองุ่น น้ำเหง้าบัว น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่
น้ำปานะและเครื่องดื่มต่างๆ ที่มิใช่ของมึนเมาและไม่มีธัญชาติผสมอยู่ด้วย เช่นน้ำพุทรา น้ำแห้ว น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำอัดลมต่างชนิด อนุโลมเข้าในน้ำปานะนี้ด้วย